ความหมาย
ลักษณะทั่วไป
ไม่มีระบบปรัชญาที่ตายตัวแน่นอน แต่แนวคิดอัตถิภาวนิยมอยู่ที่การคิดอย่างปรัชญา คือกรตระหนักในปัญหาด้วยตนเอง และตัดสินใจยึดถือคำตอบด้วยการตัดสินใจของตนเอง นักปรัชญาที่แท้จะต้องขบคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ตระหนักและเชื่อมั่นในความคิด เหตุผลของตน
ฌัง–ปอล ซาร์ตร์
เสรีภาพในแนวความคิดของซาร์ตร์
สรุปแนวความคิดเกี่ยวกับเสรีภาพ
สาระสำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพตามความคิดของซาร์ตร์
กาเบรียล มาร์เซล (Gabriel Marcel)
ชีวิตที่มีความหมาย
การเปิดตัวเองในความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ร่างกายของฉัน เป็นกรรมสิทธิ์ของเราเป็นศูนย์กลางของกรรมสิทธิ์อื่นๆ เราเป็นกรรมสิทธิ์ในสิ่งอื่นๆ โดยผ่านทางร่างกายของเรา และร่างกายยังกำหนดสภาพความมีอยู่ของฉันด้วย
อัตถิภาวะในโลก ร่างกายของแต่ละคนเป็นตัวกำหนดขอบเขตความมีอยู่ให้แต่ละคน คนเป็นส่วนหนึ่งของโลก มิใช่สิ่งแปลกปลอมในโลก (Alienation)
การเสียสละ ( Sacrifice) เรามีความโน้มเอียงที่อยากถือกรรมสิทธิ์อื่นๆนอกตัวเรามาเป็นของเรา เมื่อเราได้เรียนรู้ว่าอัตถิภาวะไม่ใช่กรรมสิทธิ์ เราจึงมีหน้าที่ยกย่องอัตถิภาวะอื่นๆ ซึ่งจะทำให้เราต้องเสียประโยชน์ เราจึงฝืนใจยอม “เสียสละ” การเสียสละสูงสุดคือเสียสละชีวิต
เรื่องเสรีภาพ
เปรียบเทียบกับแนวคิดทางด้านเทววิทยาของกระแสเรียก
สัมพันธภาพ ( Relation )
มาร์เซลมองพระเป็นเจ้าในฐานะผู้กำเนิดและจุดมุ่งหมายของมนุษย์ มนุษย์ถูกสร้างมาตามฉายาลักษณ์ของพระเป็นเจ้าเพื่อที่จะมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์ในพระองค์ ความสัมพันธ์ดังกล่าวจึงมากกว่าผู้ให้และผู้รับ มนุษย์มิใช่ภวันต์ที่ดำรงค์อยู่ได้ด้วยตนเอง แต่มีพระเป็นเจ้าเป็นหลักยึด มนุษย์แม้จะมีเสรีภาพแต่ยังต้องพึ่งพระเสมอ
พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์และต้องการให้มนุษย์มีส่วนร่วมในสันติสุขนิรันดร์กับพระองค์ พระองค์จึงทรงเชื้อเชิญให้มนุษย์ให้เข้าใกล้พระองค์ มนุษย์มีกรรมสิทธิ์ในร่างกายและจิตใจของตน เราจึงตอบรับการเรียกของพระองค์อย่างรู้ตัวด้วยความเชื่อของเราเอง เรามีหน้าที่ที่จะต้องค้นหาให้ได้ว่า ความเชื่อคืออะไร การเป็นผู้รับใช้ของพระมีคุณค่าอย่างไรในชีวิตของเรา
มนุษย์มีน้ำใจอิสระที่จะตอบรับหรือปฏิเสธพระพรและพระหรรษทานแบบให้เปล่าของพระ เมื่อเราตัดสินใจเลือกที่จะตอบรับด้วยใจอิสระ ด้วยเสรีภาพของเรา เราจะค้นหาแนวทางและจุดหมายด้วยการแสดงออกถึงอัตถิภาวะของเราอย่างเต็มที่ แต่มิใช่เลยเถิด เพราะเรามุ่งไปสู่การทำตามน้ำพระทัยของพระเพื่อพัฒนาภวันต์ของเราให้สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น ดังที่พระเป็นเจ้าทรงเป็นภวันต์ที่สมบูรณ์ ( Absolute Being )
เรื่องพระพรและพระหรรษทานจากการเรียกของพระเป็นเจ้ามิสามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยกฎเกณฑ์ของเหตุผล แต่เป็นเรื่องของความเชื่อซึ่งพระได้เผยแสดงต่อเรา เรามีหน้าที่ที่จะพัฒนาความเชื่อของเราต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราเป็นภวันต์ที่มีขอบเขต อัตถิภาวะของเราก็มีขอบเขต จึงไม่สามารถที่จะเข้าใจรหัสธรรมแห่งความเชื่อจากพระเป็นเจ้าผู้เป็นอุตรภาพได้หมดสิ้น
ความหมายของชีวิตคริสตชน คือ การอุทิศตน ซึ่งเป็นผลมาจากการตอบรับการเรียกของพระเป็นเจ้า ก่อให้เกิดความรัก ความเสียสละต่อบุคคลอื่น ยอมรับสภาพอัตถิภาวะของเราและของผู้อื่น มนุษย์แต่ละคนมีศักดิ์ศรี มีคุณค่า มนุษย์จึงไม่อาจเป็นเครื่องมือของกันและกันได้ แต่ต้องยกย่องซึ่งกันและกัน ในที่นี้ มาร์เซล บอกเราว่า การเสียสละสูงสุดคือ การเสียสละชีวิต ดังที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำให้เป็นตัวอย่างไว้แล้ว ความสัมพันธ์ของมนุษย์จึงเป็นไปในรูปแบบ บุคคลต่อบุคคล และมิได้ปิดกั้นตัวเองจากผู้อื่น มิได้เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง แต่เพราะเขาได้ตอบรับพระหรรษทานจากพระด้วยใจอิสระ จึงบังเกิดผลขึ้นเป็น ความรักและการรับใช้พระเป็นเจ้าและเพื่อนพี่น้องด้วยใจยินดี
เซอร์เร็น อาบี คีร์เคกอร์ด
ประวัติ
คีร์เคกอ์ดเป็นนักปรัชญาชาวเดนมาร์ก ท่านเกิดในครอบครัวที่มีบรรยากาศหงุดหงิด เคร่งศาสนาคริสต์นิกายลูเทอร์ เป็นคนสุดท้อง มีพี่สาว 3 คน และมีพี่ชาย 3 คน กำพร้าแม่ตั้งแต่เยาว์ พี่ ๆ ก็ทยอยตายจากไปเรื่อย ๆ ท่านเข้ามหาวิทยาลัยตอนอายุ 17 ปีซึ่งเหลือเพียงบิดา และพี่ชายหัวปีที่ครุ่นคิดแต่เรื่องศาสนาจนประสาทผิดปกติ คีร์เคกอร์ดเองก็เป็นคนขี้โรค หลังค่อมและอารมณ์อ่อนไหว บรรยากาศเศร้าหมองภายในครอบครัวมีอิทธิพลต่อจิตใจของท่านมาก เนื่องจากเป็นคนชอบขบคิดปัญหาจึงหาทางออกโดยการปลีกตัวไปอยู่เป็นนิสิตประจำที่มหาวิทยาลัย ได้พบหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ชื่อ เรยีน อ็อลเซ็น (Regine Olsen) และหลงรักอย่างจับใจ พออายุ 25 ปี บิดาถึงแก่กรรมและได้รับมรดก อายุ 27 ก็ได้รับปริญญาทางศาสนศาสตร์ แต่งงานกับเรยีนแล้วเข้ารับการอบรมเป็นศาสตราจารย์ ปีต่อมาหย่ากับเรยีน โดยอ้างว่าไม่ได้รักจริง ที่แต่งงานก็เพราะต้องการชนะเกมรักเท่านั้น และถูกเพื่อนฝูงตำหนิจนต้องหลบหน้าไปอยู่เบอร์ลินชั่วคราว และถือโอกาสเข้าฟังเช็ลลิ่งบรรยายปรัชญาของเฮเก็ล เมื่อเขากลับบ้านเขาได้เขียนหนังสือกว่า 20 เรื่อง เพื่อเสนอความคิดของตนเกี่ยวกับปรัชญาและชีวิต และถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้เพียง 42 ปี
ความสำคัญของอัตถิภาวะตามแนวคิดของคีร์เคกอร์ด
1. อัตถิภาวะเป็นพื้นฐานของความรู้
คีร์เคกอร์ดเริ่มต้นด้วยอัตถิภาวะของตนเอง เขาบอกว่าก่อนที่จะรู้อะไรจากภายนอกหรือที่ได้รู้จักระบบปรัชญาของใครก็แล้วแต่ เขาบอกว่า “ เราต้องเรียนรู้ตัวเองก่อนที่จะรู้สิ่งอื่นใดทั้งหมด ” 2อันที่จริงควรเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ต้น การที่จะรู้อะไรจากภายนอกของชีวิตของตนเองแต่หากไม่รู้ชีวิตตนเองเสียก่อนแล้ว อย่างอื่นย่อมไม่มีความหมายสำหรับเราและสำหรับคนอื่นด้วย หากแต่รู้ว่าการเรียนรู้ตัวเองรู้ว่าตนเองเป็นใครอย่างไรดีแล้ว นั่นเป็นอัตถิภาวะที่แท้จริงของตนเอง ย่อมจะเข้าใจถึงอัตถิภาวะของสิ่งภายนอกตัวเราด้วย การตรึกตรองความรู้ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริง นั่นคือ เป็นความรู้ที่ควรแก่การวิจัย อัตถิภาวะที่แท้จริงนั้นย่อมเกิดขึ้นกับตัวบุคคลแต่ละคนเอง แต่ว่าก็ต้องมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
2. อัตถิภาวะเป็นพื้นฐานของเทววิทยา
ท่านเริ่มจากจุดที่เป็นจริงในชีวิต นั่นคือเป็นอัตถิภาวะของพระคริสต์ในสิ่งแวดล้อมตามประวัติศาสตร์ ค่อย ๆ ตรึกตรองหาความหมายของอัตถิภาวะของพระองค์โดยตั้งสมมติฐานตรึกตรองขยายเขตออกไป การที่เรามองดูอัตถิภาวะของพระคริสต์แล้วนั้นเราต้องหวนกลับมองดูตัวเราว่าเราได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระคริสต์แล้วหรือยัง ถ้ายังก็ควรปรับปรุงตัวให้สอดคล้องกับพระคริสต์ ถ้าเราทำอย่างนี้เรื่อยไปจะได้ความคิดที่ลึกซึ้งและกว้างขวางมากขึ้น จะมีความหมายต่อเราอย่างแท้จริง และความเป็นจริงในความเป็นอยู่ของเราย่อมสมบูรณ์ขึ้นตามสภาพชีวิตของเราแต่ละคนตามฐานะของตน แต่อัตถิภาวะที่แท้จริงย่อมมีความยุ่งยากเหมือนกันเกี่ยวกับคำสอนของคริสตศาสนาในด้านคำสอนและการปฏิบัติจริงย่อมไม่ค่อยสอดคล้องกัน ปฏิบัติได้ยาก นี่ยังเป็นปัญหาของทางปรัชญาอยู่ แต่ก็มีบ้างที่บางคนได้ปฏิบัติ และพยายามที่จะดำเนินชีวิตไปในแนวทางที่ถูกต้องตามหลักศาสนา “เพราะฉะนั้นโดยกิจกรรมของพระองค์ พระองค์ทรงแสดงพระธรรมชาติของพระองค์ให้มนุษย์เข้าใจ ความสัมพันธ์ของพระคริสต์กับพระเจ้า มนุษย์และธรรมชาติ และสถานการณ์ของมนุษย์ เป็นไปตามเงื่อนไขของกิจกรรมของพระองค์ สิ่งอื่นทั้งหมดจึงถือได้ว่าเป็นเพียงอารัมภบท”3
3. อัตถิภาวะเป็นพื้นฐานของจริยธรรม
คีร์เคกอร์ด ให้สูตรสั้น ๆ แต่กินความหมายมากไว้ว่า “คริสตศาสนาเป็นกระแสชีวิต”4 นั่นคือ จริยธรรมของคริสตชนไม่ใช่การปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ตายตัวเรียบร้อยแล้วเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่คริสตชนทุกคนจะต้องพินิจพิเคราะห์จากอัตถิภาวะของพระคริสต์ ซึ่งตนมีความศรัทธาและยอมรับเป็นตัวอย่างแห่งการดำรงชีพอยู่ นำมาผสมผสานกับอัตถิภาวะของตนตามสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง มิใช่ถือตามกฏตัวอักษร แต่ต้องปฏิบัติด้วยความรัก เพราะว่าสถานการณ์สมัยพระเยซูเจ้ากับสมัยปัจจุบันมันต่างกันมาก อีกอย่างคือ สภาวะของพระองค์กับสภาวะมนุษย์มันแตกต่างกัน เรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเราต้องเลียนแบบพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปฏิบัติตนเหมาะสมตามสถานการณ์ของพระองค์ เราควรเอาแง่นี้ของพระองค์มาพิจารณาว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันของเรา เราพึงปฏิบัติตนอย่างไรในสถานการณ์นั้น จึงจะเหมาะสม
คีร์เคกอร์ดได้ยกตัวอย่างเรื่องการวางใจในพระญาณสอดส่องของพระเจ้า พระเยซูเจ้า ไม่ทรงห่วงใยสะสมทรัพย์สมบัติ แม้ไม่ห่วงใยถึงวันรุ่งขึ้นก็ยังมีกิน ดอกไม้ไม่ห่วงใยถึง เครื่องประดับก็ยังสวยงาม พระองค์ไม่มีแม้กระทั่งหินที่จะหนุนศรีษะเป็นสมบัติส่วนตัว
แต่นั่น คีร์เคกอร์ดชี้แจงว่า พระองค์ปฏิบัติเหมาะสมกับสถานการณ์ของพระองค์ ถ้าเราอยากจะเลียนแบบพระองค์ต้องไม่ยึดเอาการปฏิบัติเหมือนพระองค์อย่างเถรตรง แต่ต้องเลือกการปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์ พระองค์ทรงอยู่ในสถานการณ์อย่างหนึ่งที่กำหนดตายตัวสำหรับพระองค์ พระองค์ไม่สามารถจะทรงอยู่ในทุกสถานการณ์เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เราได้
จากตัวอย่างที่คีร์เคกอร์ดยกมาให้เรานั้น ย่อมเป็นอุทาหรณ์แก่เรา การที่เราจะเลียน แบบพระเยซูเจ้าตามตัวอักษรนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ การวางใจในพยานสอดส่องของ พระเป็นเจ้ามิได้หมายความว่าเราไม่ต้องอออกแรงทำอะไรเลย หากแต่เราต้องออกแรงมากยิ่งขึ้นไปในสภาพชีวิตปัจจุบันนี้ของเรา การที่คีร์เคกอร์ดเอามาพูดนั้นถูกแล้ว ในสภาพความเป็นมนุษย์ของพระองค์นั้นเราเลียนแบบได้ แต่ในสภาพของพระเป็นเจ้าเป็น ความน่าทึ่งสำหรับเราอยู่ แต่ความน่าทึ่งนี้เองที่เป็นพลังให้เราต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต ของเรา สิ่งนี้เองที่เป็นพยานสอดส่องให้แก่เรา การดำเนินชีวิตตามอัตถิภาวะแบบนี้ เป็น พื้นฐานของจริยธรรมโดยแท้
4. อัตถิภาวะเป็นจุดหมายของการสร้างโลก คีร์เคกอร์ด กล่าวเป็นเชิงภาพพจน์ว่า “ปัจเจกภาพเป็นมหัพภาคที่แท้จริงในพัฒนาการของการสร้างสรรค์”5 มหัพภาค หมายถึง จุดจบ จึงเปรียบได้กับจุดหมายปลายทางนั่นเอง
สำหรับความมีอยู่บนโลกนี้เป็นสิ่งสร้างทั้งสิ้น และสิ่งสร้างเหล่านี้ แต่ละอย่าง แต่ละชนิดเป็นสิ่งที่ไม่ซ้ำแบบใคร และเป็นปัจเจกภาพอย่างแท้จริง และยังเป็นมหัพภาคอย่างแท้จริงด้วย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกเหมือนกันเกิดขึ้นและวันหนึ่งก็มีจุดจบ จุดจบของสิ่งมีชีวิตคือ ตาย
สำหรับ คีร์เคกอร์ด เขาไม่ได้เป็นนักปรัชญาในความหมายดั้งเดิมของคำ เพราะ ความสนใจแรกของเขาเป็นเรื่องทางศาสนา ความคิดหลักของเขาคือ การกระโดดข้าม และการกระโดดข้ามนี้ คือ จากระดับสุนทรียะไปสู่ขั้นจริยศาสตร์และไปสู่ขั้นที่เรียกว่า ขั้นของศาสนา และจุดมุ่งหมายของเขาก็คือ “การกลับเป็นคริสตชน” แต่เป็นปัญหาอยู่ที่ว่า ปัจเจกบุคคลจะกลับเป็นคริสตชนได้อย่างไรต่อหน้าปรัชญาเหตุผลนิยมในสังคมของคนชั้นกลางนี้ และในสมัยของเราเช่นเดียวกันที่กำหนดแนวคิดและวิธีการใหม่ของเขา เมื่อเขาหันหน้าสู้กับสิ่งที่เขาถือว่าเป็นการจัดระบบปรัชญาที่เป็นบ่อนทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ อย่างที่เคยเป็นมาแล้วในปรัชญาตะวันตก และที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนในปรัชญาของเฮเก็ลและเมื่อเขาต่อต้านสังคมนิยมที่กดขี่พอ ๆ กับระบบทุนนิยม เขาได้เน้นย้ำที่ความเป็นเอกของบุคคล ความเป็นเอกในสามความหมายด้วยกันคือ “ความเป็นหนึ่งเดียว” “ดั้งเดิมไม่ซ้ำแบบใครโดดเดี่ยว” และเป็น “ผู้ที่รู้สำนึกถึงตัวเอง ไม่ขึ้นกับใคร” ต้องตัดสินเลือกและกระทำเองอย่างสิ้นเชิง จึงไม่เกินความจริงที่จะยืนยันว่า แม้จะมีหลายคนก่อนหน้าเขาที่พูดถึงปัจเจกบุคคล ตั้งแต่ออกัสตินถึงปัสกัล แต่ไม่มีใครได้เห็นเอกภาพในตัวเองที่ไม่หยุดนิ่งที่มีความเป็นอยู่และการกระทำด้วยตัวเองชัดเทากับเขา และภายใต้อิทธิพลของเขาคนอื่น ๆ ในศตวรรษนี้ตั้งแต่การเมืองจนถึงจิตเวช ได้เริ่มที่จะศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงความเป็นจริงประการนี้
คีร์เคกอร์ด ได้วิจัยธรรมชาติของมนุษย์ เขาใช้ทั้งนิทานเปรียบเทียบและการวิเคราะห์ทางวิชาการ แต่เราสามารถจับแนวคิดพื้นฐานของเขาได้จากทฤษฎีเกี่ยวกับ “ขั้นตอนของทางชีวิต ” ซึ่งนี่เป็นจุดกำเนิดที่ทรงพลัง ที่ผลักขบวนการอัตถิภาวะทั้งหมดให้ก้าวไปเป็นพลังของการต่อต้าน “ปรัชญานามนิยม” เพื่อประโยชน์ของ “มนุษย์ที่เป็นรูปธรรม”
สรุปแนวความคิดของคีร์เคกอร์ด
เป็นแนวการมองชีวิตที่ไม่แตกต่างจากจากคนในสมัยปัจจุบันเท่าไหร่นัก จากความคิดของเขาที่ว่า คนเรานั้นเป็นอัตถิภาวะดั้งเดิมไม่ซ้ำแบบใคร และแต่ละคนก็เผชิญหน้ากับปัญหาที่คล้าย ๆกันด้วยคือ สภาพชีวิตของมนุษยชาติที่เกิดมามีชีวิตทุกวันนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก มีสภาพความรู้สำนึก และความนึกคิดทีคล้าย ๆ กัน เมื่อประสบกับปัญหาชีวิต แต่ทางออกของการแก้ปัญหาชีวิตนั้นย่อมแตกต่างกัน แต่ว่า คีร์เคกอร์ด ให้แนวทางไว้บ้าง ในหนทางของเราที่จมอยู่ในสภาพเช่นนี้ เราต้องกระโดดออกด้วย คือ ต้องกระโดดจากสภาพเดิมไปสู่สภาพที่ดีกว่า นั่นคือ ขั้นของศาสนา และนี่เป็นขั้นที่ดีที่สุดแล้ว ศาสนานั้นเป็นแนวทางเดียวที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทุกอย่างถ้าเรามีความเชื่อพอ และตนเองเข้าไปแลกด้วย ในหนทางนี้นั้นที่คีร์เคกอร์ดให้แนวคิดแก่เรา เพื่อว่าแต่ละคนที่กำลังประสบกับปัญหาชีวิต โดยที่เราไม่จำเป็นต้องท้อแท้จนเกินไป อย่างน้อยเรามีเพื่อนร่วมโลกอยู่ ยังมีเพื่อนร่วมเดินทางกับเราอยู่ในชีวิตแต่ละวัน แต่บางครั้งการดำเนินไปของชีวิตแต่ละวันมันยากลำบากก็จริงอยู่ แต่ถ้าเรามีความรู้สำนึกคิดสักนิดถึงความผิดพลาดของตัวเอง เราก็มีกำลังใจที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้ และยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่จะคอยช่วยเรายังคงมีอยู่เสมอหากเราพึ่งพาเขา
คนคนนั้นก็คือ “ องค์พระเยซูคริสตเจ้าเอง” ในระดับความเชื่อนี้ เป็นอัตถิภาวะของเรามนุษย์อย่างแท้จริงในระดับของขั้นศาสนา ศาสนาที่แท้จริงอยู่ที่พระเยซูเจ้าเองที่นำความรอดมาสู่เรา พระองค์เองมาอยู่กับเราในชีวิตประจำวันที่เราอยู่ในโลกนี้
บรรณานุกรม
กีรติ บุญเจือ. ปรัชญาอัตถิภาวนิยม กรุงเทพ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2522
ศักดิ์ชัย นิรัญทวี. ปรัชญาเอ็กซิสเทนเชียลลิสม์ กรุงเทพ : สำนักพิมพ์วลี,2526
โกมุที ปวัฒนา. ปรัชญาเอ็กซิสเทนเชียลลิสม์ กรุงเทพ : สำนักพิมพ์สมิต,2530
ของฝาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น