วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปรัชญาอัติภาวนิยม - Existentialism



ปรัชญาอัติภาวนิยม - Existentialism

ความหมาย

คำว่า อัตถิภาวะสารานุกรมปรัชญา มาจากศัพท์มคธ: อัตถิ = เป็นอยู่ + ภาวะ = สภาพ ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Existence ซึ่งแปรรูปมาจากศัพท์ภาษาลาติน ว่า Existentia ( Ex = จาก+ Stare = ยืน ) แปลว่า ความมีอยู่

ลัทธิอัตถิภาวนิยมจึงเป็นลัทธิที่เน้นเรื่องความมีอยู่ สารานุกรมปรัชญา ให้คำอธิบายว่า ลัทธิถือว่า การค้นคว้าหาสารัตถะ ทำให้ผู้คิดออกห่างจากความเป็นจริง ความเป็นจริงที่แท้ก็คือ อัตถิภาวะ ของแต่ละบุคลซึ่งมีสิ่งแวดล้อมและสภาพที่ตนเองได้สะสมไว้โดยการตัดสินใจเลือกตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน ปรัชญาที่มีประโยชน์จริง ๆ ก็คือปรัชญาที่ศึกษาอัตถิภาวะของตนเอง นักปรัชญาที่สำคัญของลัทธินี้มีหลายคนด้วยกัน เช่น คีร์เคกอร์ด, ยัสเปิร์ส, ไฮเด๊กเกอร์, ซาร์ตร์, มาร์เซ็ล, บูเบอร์ เป็นต้น

ลักษณะทั่วไป

อัตถิภาวนิยมไม่ใช่ระบบปรัชญาหรือระบบความคิด แต่ทว่าระบุถึงท่าทีของความคิดที่มีปฏิกิริยาที่มีต่อปรัชญาที่เป็นระบบ แต่นักปรัชญาอัตถิภาวนิยมหลายท่านก็สร้างระบบความคิดขึ้นมาใหม่ แต่หลายท่านก็ไม่ยอมรับว่าตนถือลัทธิอัตถิภาวนิยม เพราะคำนี้มีความหมายเลือนไปถึงการชอบทำอะไรแปลก ๆ แหวกแนว เช่น แฟชั่นแหวกแนว ทรงผมแหวกแนว เป็นต้น แต่ในปัจจุบันนี้หมายถึงความคิดที่ได้จากการเผชิญหน้า (Confrontation) กับความมีอยู่ของตนเอง คือ ยอมรับสภาพของตนเองในสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริง ยอมรับปัญหาอันเกิดจากการมีอยู่ของตนในสิ่งแวดล้อมที่กำหนดให้ในความเป็นจริง ยอมรับว่าการแก้ปัญหาต้องมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงแห่งการมีอยู่ของตนเองในสิ่งแวดล้อมจริงที่กำหนดให้ตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน

ดังนั้นนักปรัชญาของอัตถิภาวนิยมจึงเป็นการเสนอแนวคิดเพื่อปลุกใจและกระตุ้นให้ผู้อ่าน ผู้สนใจ คิดสร้างปรัชญาของตนขึ้นเอง มีวิธีการมองปัญหาของตนเองอย่างอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ และมีวิธีการหาคำตอบให้กับตนเอง เพื่อที่จะรู้จักตนเองมากขึ้นด้วย

ลัทธิอัตถิภาวนิยมเล็งเห็นว่าแก่นแท้หรือสารัตถะของมนุษย์ คือ เสรีภาพ ซึ่งหมายความว่า มนุษย์เกิดมาโดยไม่มีอะไรเป็นสมบัติติดตัวมา แก่นแท้ หรือสารัตถะของมนุษย์ คือ การไม่มีอะไรเลยมาแต่เกิดที่จะเรียกได้ว่าความเป็นมนุษย์ ถ้ายอมเรียกความไม่มีหรือสุญตานี้ว่าสารัตถะได้ ก็ให้เรียกต่อไป แต่ถ้าถือว่าเป็นคำพูดที่ไร้สาระ ก็ขอให้พูดใหม่ว่ามนุษย์ไม่มีสารัตถะ แต่มีเพียงความมีอยู่ หรืออัตถิภาวะ (Existence) อย่างบริสุทธิ์ ซึ่งทำให้มนุษย์แต่ละคนต้องสร้างตัวเองขึ้นมาจากการไม่มีอะไรเลยในขณะแรกเกิดตามลำดับโดยการตัดสินใจเลือก

นักอัตถิภาวนิยมฝ่ายที่ยังมีศรัทธาต่อศาสนาเห็นว่า แนวทางการแก้ปัญหาของลัทธิอัตถิภาวนิยมนี้ เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์ในสมัยปัจจุบัน หากแต่เห็นว่าการแก้ไขโดยไม่มีศาสนานั้นจะได้ผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะขาดสิ่งบันดาลใจที่สำคัญที่สุดสำหรับจิตใจมนุษย์ สำหรับฝ่ายที่ไม่พึ่งศาสนามีสุทรรศนะต่อมนุษย์เกินไป คือ ลืมคิดถึงแง่มนุษย์ทุกคนมีกิเลส การที่เชื่อว่ามนุษย์เราเมื่อถืออัตถิภาวนิยมแล้วจะรู้จักรับผิดชอบกันอย่างสมบูรณ์โดยอัตโนมัตินั้น เป็นความหวังที่ไม่น่าจะหวังได้จริง จึงต้องอาศัยศาสนาช่วยจูงใจและช่วยขัดเกลากิเลสไปในตัวจึงจะสำเร็จสมประสงค์

สรุปแนวคิดของลัทธิอัตถิภาวนิยม

ให้ผู้ศึกษาได้รับแรงบันดาลใจเกี่ยวกับการเข้าใจชีวิตมากขึ้น

ไม่มีระบบปรัชญาที่ตายตัวแน่นอน แต่แนวคิดอัตถิภาวนิยมอยู่ที่การคิดอย่างปรัชญา คือกรตระหนักในปัญหาด้วยตนเอง และตัดสินใจยึดถือคำตอบด้วยการตัดสินใจของตนเอง นักปรัชญาที่แท้จะต้องขบคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ตระหนักและเชื่อมั่นในความคิด เหตุผลของตน


ฌังปอล ซาร์ตร์


ชีวประวัติของณัง-ปอล ซาร์ตร์

ซาร์ตร์ (Jean Paul Satre 1905-1980) เป็นนักวรรณคดีและนักปรัชญาร่วมสมัยชาวฝรั่งเศส เขียนนวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร และปรัชญา เพื่อเผยแพร่ลัทธิอัตถิภาวะนิยม นับว่าเขาเป็นนักเขียนที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกคนหนึ่งในปัจจุบัน โดยที่มีจุดมุ่งหมายที่จะปรับปรุงระบบสังคมของมนุษย์ให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยเริ่มจากการศึกษาให้รู้จักตัวเองเสียก่อน แล้วยอมรับสภาพความเป็นจริงของตนเองแต่ละคน นอกจากนี้เขายังเป็นนักคิดที่มีอิทธิพลต่อความคิดของคนรุ่นใหม่ เป็นผู้ทำให้มนุษย์แสวงหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต จะทำให้คนรุ่นใหม่บางคนปฏิเสธค่านิยมแบบดั้งเดิมอันไม่พึงปรารถนา ซาร์ตร์เองก็ได้เขียนหนังสือประเภทต่างๆ ไว้มากพอสมควร ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อปลูกฝังค่านิยมใหม่ๆ ในจิตใจของคนรุ่นใหม่นั่นเองและงานของเขาก็นับว่าประสบผลสำเร็จมากพอสมควรในสังคมโลกปัจจุบัน

แนวปรัชญาของซาร์ตร์

ปรัชญาของซาร์ตร์เป็นอัตถิภาวะนิยมระบบเทวะ (Atheistic Existentialism) หรือที่ถูกกว่านั้นควรเรียกว่า อัตถิภาวะนิยมแบบศาสนาเพราะซาร์ตร์ไม่เห็นชอบกับศาสนาใดทั้งสิ้น โดยถือว่าศาสนาทุกศาสนาเป็นมูลบทที่เหลือเฟือ ไม่จำเป็นต้องอาศัยศาสนาใดเลย เราก็สามารถแก้ปัญหาในชีวิตของเราได้ ที่ร้ายกว่านั้นการนับถือศาสนาจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนฉลาดเอาเปรียบคนโง่ โดยเสนออุดมคติให้หลงไหล จนทำให้ผู้นับถือใช้เป็นข้อแก้ตัว เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตัวเอง ซาร์ตร์ยังไม่เห็นด้วยกับอุดมคติความคิดหลักการหรือลัทธิที่มีความคิดตายตัวเป็นมาตรฐานเพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์ไม่มีเสรีภาพที่ตนพึงมี เขาได้บอกว่าแม้ในขณะนั้นที่ใครๆ ต่างก็สงสัยว่าอะไรจริง, อะไรเท็จ เนื่องจากวิกฤติการณ์ทางปรัชญา หลังจากทฤษฏีเรื่องโครงสร้างของมนัสของค้านต์เป็นต้นมา แต่เราก็สามารถแน่ใจได้อย่างแน่นอนที่สุดในเรื่องหนึ่งคือว่า มนุษย์กับเสรีภาพเป็นของคู่กัน และจะไม่มีใครสามารถแยกมนุษย์ออกจากเสรีภาพได้เลย ตราบเท่าที่มนุษย์ยังเป็นมนุษย์อยู่ คือยังไม่ตายนั้นเอง แม้แต่ผู้ที่ยอมเสียเสรีภาพเองเขาก็ไม่ได้สูญเสียเสรีภาพเลย เพราะการที่เขายอมเสียเสรีภาพนั้นแสดงว่าเขาสามารถเลือกได้ระหว่างการยอม, และไม่ยอม และเขาก็ได้เลือกเอาการยอมเสียเสรีภาพ และนั่นคือเขาก็มีเสรีภาพในการเลือกด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ซาร์ตร์จึงเน้นว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังเป็นมนุษย์อยู่ มนุษย์จะไม่มีวันสูญเสียเสรีภาพอย่างหมดสิ้นจริงๆ เลยเพราะการเป็นมนุษย์นั้น จำเป็นต้องมีเสรีภาพ นั่นคือเสรีภาพเป็นแก่นแท้ของมนุษย์หรือเสรีภาพก็คือสารัตถะของมนุษย์นั่นเอง แนวปรัชญาของซาร์ตร์ที่เด่นๆ และมุ่งแสดงอย่างแจ่มชัดก็คือเรื่องอัตถิภาวะของมนุษย์ หรือความมีอยู่, ความเป็นมนุษย์นั่นเอง ซึ่งสาระของความเป็นมนุษย์ ซาร์ตร์ก็ได้ให้คำตอบว่ามันคือ เสรีภาพนั่นเอง

เสรีภาพในแนวความคิดของซาร์ตร์

ซาร์ตร์ ได้ให้ความหมายของเสรีภาพไว้ว่า เป็นความสามารถที่จะเลือกทำสิ่งใดก็ได้ตามเจตจำนงของตนเองดังนั้น มนุษย์จึงสามารถสร้างชีวิตของตนให้เป็นไปตามความต้องการ

ซาร์ตร์บอกว่า มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ” (MAN IS CONDEMNED TO BE FREE) เพราะมนุษย์ไม่อาจปฏิเสธเสรีภาพของตนเองได้ และมนุษย์ไม่สามารถยุติการเลือกได้ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่ ฉะนั้น เสรีภาพจึงต้องอยู่ควบคู่กับการเป็นมนุษย์

อย่างไรก็ดี เสรีภาพในที่นี้ มิใช่เสรีภาพจะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจปรารถนา แม้ว่ามนุษย์สามารถที่จะเลือกหรือตัดสินใจอะไรก็ได้ แต่มนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อการเลือกและการตัดสินใจนั้น กล่าวคือ มนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อการใช้เสรีภาพของตนเลือกการกระทำที่ไม่กระทบกระเทือนเสรีภาพของคนอื่น และยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ควรเลือกการกระทำที่ส่งเสริมเสรีภาพของตนเองและของผู้อื่นด้วย


สรุปแนวความคิดเกี่ยวกับเสรีภาพ

เสรีภาพตามที่บุคคลส่วนใหญ่เข้าใจกันก็คือ ความสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ตามความปรารถนาตราบเท่าที่สิ่งนั้นจะเอื้ออำนวยผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ตน ส่วนสิ่งที่มาจำกัดการตัดสินใจ และกิจการของเราย่อมเป็นสิ่งที่ขัดขวางเสรีภาพ

อย่างไรก็ตาม เสรีภาพที่แท้จริงก็คือ ความสามารถของแต่ละบุคคลที่จะสร้างชีวิตและรับผิดชอบต่ออนาคต และความก้าวหน้าของตนเอง โดยที่การตัดสินใจของแต่ละคนนั้นจะต้องเป็นการตัดสินใจตามเหตุผล อาศัยสติปัญญาที่ตนเองเข้าใจและยอมรับ โดยไม่ตกเป็นทาสของสิ่งใด พร้อมกันนั้น ก็อาศัยชีวิตสังคมที่ทุกคนต้องช่วยกันสร้างขึ้นมา เพื่อช่วยพัฒนาเราให้รู้เป้าหมายของชีวิตและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ผู้มีเสรีภาพมากขึ้น

สาระสำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพตามความคิดของซาร์ตร์

มนุษย์เป็นผู้มีเสรีภาพ เสรีภาพเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของความเป็นมนุษย์ มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้เสรีภาพของมนุษย์ เสรีภาพเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซาร์ตร์ปฏิเสธความเชื่อเรื่องพระเจ้า ไม่ยอมรับพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ เพราะความเขื่องเรื่องพระเจ้านี้ขัดกับความคิดเรื่องเสรีภาพของมนุษย์ นอกจากนั้นซาร์ตร์ยังได้ปฏิเสธเรื่องสวรรค์และกิเลส โดยคิดว่าเสรีภาพถูกสร้างขึ้นมาด้วยตัวมนุษย์เอง มนุษย์ถูกกำหนดให้เป็นอิสระ เสรีภาพเป็นสิ่งที่อยู่เหนือสิ่งใดๆ มนุษย์จำเป็นต้องมีเสรีภาพโดยสมบูรณ์

อเทวนิยมแบบซาร์ตร์เป็นการเน้นความสำคัญของมนุษย์แต่อย่างเดียวก็คือ พระเจ้าไม่มีอิทธิพลเหนือมนุษย์ใดๆ ทั้งสิ้น แม้พระเจ้ามีอยู่แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เพื่อที่จะอธิบายความคิดเกี่ยวกับเสรีภาพ ซาร์ตร์ได้แยกภวันต์ออกเป็น 2 อย่างคือ ภวันต์ในตนเอง กับภวันต์สำหรับตนเอง ภวันต์ในตนเองก็คือ ภวันต์ของสิ่งของวัตถุต่างๆ ซึ่งปราศจากความสำนึก ส่วนภวันต์สำหรับตนเอง คือ มนุษย์ผู้มีมโนธรรม มีสติสัมปชัญญะ มีความสำนึก แต่ในมนุษย์นั้นมีภวันต์ทั้งสองรูปแบบปนกันอยู่ บางครั้งมนุษย์ก็ดำเนินชีวิตแบบภวันต์ในตนเอง คือ ดำเนินชีวิตโดยปราศจากการรู้จัก

ดังนั้น มนุษย์จะมีเสรีภาพได้ โดยการแยกภวันต์ในตนเองออกจากภวันต์เพื่อตนเองเสียก่อน...

กาเบรียล มาร์เซล (Gabriel Marcel)

ชีวิตที่มีความหมาย

การเปิดตัวเองในความสัมพันธ์กับผู้อื่น

ชีวประวัติและผลงาน

มาร์เซลเกิดที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1889 บิดามีความรู้กว้างขวาง มีตำแหน่งสำคัญในหอสมุดแห่งชาติ บิดานับถือคริสตศาสนาโรมันคาทอลิกก็จริง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ศรัทธาอะไรนัก ส่วนมารดาเป็นยิว มาร์เซลสนใจในนิกายโปรเตสแตนต์แบบเสรีของป้า เข้ามหาวิทยาลัยศึกษาปรัชญา ร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำหน้าที่เป็นนายร้อยเสนารักษ์ ทำให้คิดได้ว่าระบบปรัชญาไม่พอตีความหมายของมนุษย์ เข้าสังคมคาทอลิกเมื่อ ค.ศ.1929 รู้สึกว่าปรัชญาควรมีส่วนช่วยตีความหมายศรัทธาและความหวังในศาสนาด้วย มีงานเขียนที่สำคัญที่มีชื่อเสียง(เป็นภาษาฝรั่งเศส) เช่น Journal Metaphysique-1927 (Metaphysical Journal), Etre et Avoir-1935(Being and Having) เป็นต้น.

แนวคิดสำคัญ

มาร์เซล เป็นผู้วิจารณ์การสร้างระบบอภิปรัชญาเพื่อตีความหมายความเป็นจริง เพราะนั่นเป็นการละเลยความเป็นปัจเจกบุคคลของมนุษย์เพราะถือว่ามนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเป็นจริงที่มิได้มีสิ่งใดพิเศษ ส่วนความผิดพลาดของของวิชาวิทยาศาสตร์อยู่ที่ว่าวิทยาศาสตร์มองมนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลกแห่งสสารและเดินตามกฎเกณฑ์ของสสาร วิชาสังคมศาสตร์ดีกว่าวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังศึกษามนุษย์ในแง่รวมๆ โดยขาดการคำนึงถึงปัจเจกภาพของบุคคล

มาร์เซลได้กล่าวถึงอัตถิภาวะของมนุษย์ไว้ว่า อัตถิถาวะของมนุษย์ก็คือตัวของมนุษย์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกฎวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมและใช้อัตถิภาวะให้เป็นประโยชน์ได้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตัวมนุษย์คนนั้นๆเอง ด้วยเหตุผลดังกล่าวมนุษย์จึงไม่อาจเป็นเครื่องมือของกันและกันได้ และมนุษย์มีหน้าที่ยกย่องซึ่งกันและกัน ซึ่งค่อนข้างจะมีกลิ่นไอของ บุคลนิยม”(Personalism)อยู่ไม่น้อย ความสัมพันธ์ระหว่างอัตถิภาวะหนึ่งต่ออีกอัตถิภาวะหนึ่งนั้นต้องเป็นไปในทำนอง บุคคลกับบุคคล” ( I and Thou )

มาร์เซลยังได้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลกับสิ่งต่างๆ ( Who and What ) อีกด้วย เช่น

ความลับ (Secret ) อยู่ในตัวเรา แต่มิใช่ตัวเราหรือสิ่งที่บรรจุอยู่ในตัวเรา เราสามารถควบคุมมันได้ ว่าจะเก็บมันไว้ หรือเผยให้คนอื่นทราบ อาจถูกบังคับให้เผย หรือเผยออกไปเพราะเผลอเรอก็เป็นได้ อาจนำความรับผิดชอบ ภาระ การตัดสินใจ หรือความเดือดร้อนมาสู่ผู้มีก็ได้ และไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ร่างกายของฉัน เป็นกรรมสิทธิ์ของเราเป็นศูนย์กลางของกรรมสิทธิ์อื่นๆ เราเป็นกรรมสิทธิ์ในสิ่งอื่นๆ โดยผ่านทางร่างกายของเรา และร่างกายยังกำหนดสภาพความมีอยู่ของฉันด้วย

อัตถิภาวะในโลก ร่างกายของแต่ละคนเป็นตัวกำหนดขอบเขตความมีอยู่ให้แต่ละคน คนเป็นส่วนหนึ่งของโลก มิใช่สิ่งแปลกปลอมในโลก (Alienation)

การเสียสละ ( Sacrifice) เรามีความโน้มเอียงที่อยากถือกรรมสิทธิ์อื่นๆนอกตัวเรามาเป็นของเรา เมื่อเราได้เรียนรู้ว่าอัตถิภาวะไม่ใช่กรรมสิทธิ์ เราจึงมีหน้าที่ยกย่องอัตถิภาวะอื่นๆ ซึ่งจะทำให้เราต้องเสียประโยชน์ เราจึงฝืนใจยอม เสียสละการเสียสละสูงสุดคือเสียสละชีวิต

เรื่องเสรีภาพ

เมื่อเรายอมรับสภาพของอัตถิภาวะของเราและของผู้อื่น เราจึงปฏิบัติตนไปตามสภาพของชีวิต จิงอยู่ที่ว่าต้องมีอุปสรรคต่างๆในชีวิตแน่นอน แต่นั่นก็คือทางสร้างคุณค่าให้มนุษย์เรานั่นเอง เสรีภาพของมาร์เซลจึงอยู่กึ่งกลางระหว่าง การไม่เป็นตัวของตัวเอง กับ เสรีภาพแบบเลยเถิด เสรีภาพของเราจึงมิใช่เสรีภาพเพื่อเสรีภาพ (freedom for freedom’s sake) แต่เสรีภาพมีจุดหมายเพื่อการมีส่วนร่วมกับภวันต์อย่างสมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น ความมีอยู่ของเรามิใช่สิ่งที่ไร้สาระ แต่มีจุดหมายและแนวทาง แต่ละคนต้องเผชิญหน้ากับปัญหาชีวิตด้วยตนเองในสภาพของตนเองที่ไม่เหมือนใคร การเผชิญสภาพชีวิตของมาร์เซลก็คือการยอมรับรู้พระเจ้าในฐานะผู้สร้างและจุดหมายของชีวิตนั่นเอง เราต้องใช้เสรีภาพทำให้จุดหมายของชีวิตเป็นจริงขึ้นด้วยความรับผิดชอบของเราเอง

เปรียบเทียบกับแนวคิดทางด้านเทววิทยาของกระแสเรียก

มาร์เซลเป็นนักปรัชญาอัตถิภาวะนิยมที่ยังคงความเป็นคริสตชนอยู่ เขาเริ่มต้นด้วยปรัชญาและได้ค้นพบพระเป็นเจ้าในปรัชญาเหล่านั้น การศึกษาปรัชญาของเขาเองที่นำเขาสู่ความเป็นคริสตชน เขาจึงได้พยายามที่จะประยุกต์แนวคิดทางปรัชญาให้สอดคล้องกับความเชื่อที่เขาได้ค้นพบ โดยเฉพาะเรื่องคุณค่าและความหมายของชีวิตมนุษย์ ทั้งในตนเอง(Own self)และความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Relation with Others) ในที่นี้จึงอยากพิจารณาลักษณะสำคัญทางด้านเทววิทยาของกระแสเรียก ดังนี้

สัมพันธภาพ ( Relation )

มาร์เซลมองพระเป็นเจ้าในฐานะผู้กำเนิดและจุดมุ่งหมายของมนุษย์ มนุษย์ถูกสร้างมาตามฉายาลักษณ์ของพระเป็นเจ้าเพื่อที่จะมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์ในพระองค์ ความสัมพันธ์ดังกล่าวจึงมากกว่าผู้ให้และผู้รับ มนุษย์มิใช่ภวันต์ที่ดำรงค์อยู่ได้ด้วยตนเอง แต่มีพระเป็นเจ้าเป็นหลักยึด มนุษย์แม้จะมีเสรีภาพแต่ยังต้องพึ่งพระเสมอ

การตอบรับ ( Dialogue )

พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์และต้องการให้มนุษย์มีส่วนร่วมในสันติสุขนิรันดร์กับพระองค์ พระองค์จึงทรงเชื้อเชิญให้มนุษย์ให้เข้าใกล้พระองค์ มนุษย์มีกรรมสิทธิ์ในร่างกายและจิตใจของตน เราจึงตอบรับการเรียกของพระองค์อย่างรู้ตัวด้วยความเชื่อของเราเอง เรามีหน้าที่ที่จะต้องค้นหาให้ได้ว่า ความเชื่อคืออะไร การเป็นผู้รับใช้ของพระมีคุณค่าอย่างไรในชีวิตของเรา

น้ำใจอิสระ ( Freewill )

มนุษย์มีน้ำใจอิสระที่จะตอบรับหรือปฏิเสธพระพรและพระหรรษทานแบบให้เปล่าของพระ เมื่อเราตัดสินใจเลือกที่จะตอบรับด้วยใจอิสระ ด้วยเสรีภาพของเรา เราจะค้นหาแนวทางและจุดหมายด้วยการแสดงออกถึงอัตถิภาวะของเราอย่างเต็มที่ แต่มิใช่เลยเถิด เพราะเรามุ่งไปสู่การทำตามน้ำพระทัยของพระเพื่อพัฒนาภวันต์ของเราให้สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น ดังที่พระเป็นเจ้าทรงเป็นภวันต์ที่สมบูรณ์ ( Absolute Being )

รหัสธรรม ( Mistery )

เรื่องพระพรและพระหรรษทานจากการเรียกของพระเป็นเจ้ามิสามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยกฎเกณฑ์ของเหตุผล แต่เป็นเรื่องของความเชื่อซึ่งพระได้เผยแสดงต่อเรา เรามีหน้าที่ที่จะพัฒนาความเชื่อของเราต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราเป็นภวันต์ที่มีขอบเขต อัตถิภาวะของเราก็มีขอบเขต จึงไม่สามารถที่จะเข้าใจรหัสธรรมแห่งความเชื่อจากพระเป็นเจ้าผู้เป็นอุตรภาพได้หมดสิ้น

คุณค่า ( Value )

ความหมายของชีวิตคริสตชน คือ การอุทิศตน ซึ่งเป็นผลมาจากการตอบรับการเรียกของพระเป็นเจ้า ก่อให้เกิดความรัก ความเสียสละต่อบุคคลอื่น ยอมรับสภาพอัตถิภาวะของเราและของผู้อื่น มนุษย์แต่ละคนมีศักดิ์ศรี มีคุณค่า มนุษย์จึงไม่อาจเป็นเครื่องมือของกันและกันได้ แต่ต้องยกย่องซึ่งกันและกัน ในที่นี้ มาร์เซล บอกเราว่า การเสียสละสูงสุดคือ การเสียสละชีวิต ดังที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำให้เป็นตัวอย่างไว้แล้ว ความสัมพันธ์ของมนุษย์จึงเป็นไปในรูปแบบ บุคคลต่อบุคคล และมิได้ปิดกั้นตัวเองจากผู้อื่น มิได้เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง แต่เพราะเขาได้ตอบรับพระหรรษทานจากพระด้วยใจอิสระ จึงบังเกิดผลขึ้นเป็น ความรักและการรับใช้พระเป็นเจ้าและเพื่อนพี่น้องด้วยใจยินดี

เซอร์เร็น อาบี คีร์เคกอร์ด

ประวัติ

คีร์เคกอ์ดเป็นนักปรัชญาชาวเดนมาร์ก ท่านเกิดในครอบครัวที่มีบรรยากาศหงุดหงิด เคร่งศาสนาคริสต์นิกายลูเทอร์ เป็นคนสุดท้อง มีพี่สาว 3 คน และมีพี่ชาย 3 คน กำพร้าแม่ตั้งแต่เยาว์ พี่ ๆ ก็ทยอยตายจากไปเรื่อย ๆ ท่านเข้ามหาวิทยาลัยตอนอายุ 17 ปีซึ่งเหลือเพียงบิดา และพี่ชายหัวปีที่ครุ่นคิดแต่เรื่องศาสนาจนประสาทผิดปกติ คีร์เคกอร์ดเองก็เป็นคนขี้โรค หลังค่อมและอารมณ์อ่อนไหว บรรยากาศเศร้าหมองภายในครอบครัวมีอิทธิพลต่อจิตใจของท่านมาก เนื่องจากเป็นคนชอบขบคิดปัญหาจึงหาทางออกโดยการปลีกตัวไปอยู่เป็นนิสิตประจำที่มหาวิทยาลัย ได้พบหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ชื่อ เรยีน อ็อลเซ็น (Regine Olsen) และหลงรักอย่างจับใจ พออายุ 25 ปี บิดาถึงแก่กรรมและได้รับมรดก อายุ 27 ก็ได้รับปริญญาทางศาสนศาสตร์ แต่งงานกับเรยีนแล้วเข้ารับการอบรมเป็นศาสตราจารย์ ปีต่อมาหย่ากับเรยีน โดยอ้างว่าไม่ได้รักจริง ที่แต่งงานก็เพราะต้องการชนะเกมรักเท่านั้น และถูกเพื่อนฝูงตำหนิจนต้องหลบหน้าไปอยู่เบอร์ลินชั่วคราว และถือโอกาสเข้าฟังเช็ลลิ่งบรรยายปรัชญาของเฮเก็ล เมื่อเขากลับบ้านเขาได้เขียนหนังสือกว่า 20 เรื่อง เพื่อเสนอความคิดของตนเกี่ยวกับปรัชญาและชีวิต และถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้เพียง 42 ปี

ความสำคัญของอัตถิภาวะตามแนวคิดของคีร์เคกอร์ด

1. อัตถิภาวะเป็นพื้นฐานของความรู้

คีร์เคกอร์ดเริ่มต้นด้วยอัตถิภาวะของตนเอง เขาบอกว่าก่อนที่จะรู้อะไรจากภายนอกหรือที่ได้รู้จักระบบปรัชญาของใครก็แล้วแต่ เขาบอกว่า เราต้องเรียนรู้ตัวเองก่อนที่จะรู้สิ่งอื่นใดทั้งหมด ” 2อันที่จริงควรเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ต้น การที่จะรู้อะไรจากภายนอกของชีวิตของตนเองแต่หากไม่รู้ชีวิตตนเองเสียก่อนแล้ว อย่างอื่นย่อมไม่มีความหมายสำหรับเราและสำหรับคนอื่นด้วย หากแต่รู้ว่าการเรียนรู้ตัวเองรู้ว่าตนเองเป็นใครอย่างไรดีแล้ว นั่นเป็นอัตถิภาวะที่แท้จริงของตนเอง ย่อมจะเข้าใจถึงอัตถิภาวะของสิ่งภายนอกตัวเราด้วย การตรึกตรองความรู้ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริง นั่นคือ เป็นความรู้ที่ควรแก่การวิจัย อัตถิภาวะที่แท้จริงนั้นย่อมเกิดขึ้นกับตัวบุคคลแต่ละคนเอง แต่ว่าก็ต้องมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

2. อัตถิภาวะเป็นพื้นฐานของเทววิทยา

ท่านเริ่มจากจุดที่เป็นจริงในชีวิต นั่นคือเป็นอัตถิภาวะของพระคริสต์ในสิ่งแวดล้อมตามประวัติศาสตร์ ค่อย ๆ ตรึกตรองหาความหมายของอัตถิภาวะของพระองค์โดยตั้งสมมติฐานตรึกตรองขยายเขตออกไป การที่เรามองดูอัตถิภาวะของพระคริสต์แล้วนั้นเราต้องหวนกลับมองดูตัวเราว่าเราได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระคริสต์แล้วหรือยัง ถ้ายังก็ควรปรับปรุงตัวให้สอดคล้องกับพระคริสต์ ถ้าเราทำอย่างนี้เรื่อยไปจะได้ความคิดที่ลึกซึ้งและกว้างขวางมากขึ้น จะมีความหมายต่อเราอย่างแท้จริง และความเป็นจริงในความเป็นอยู่ของเราย่อมสมบูรณ์ขึ้นตามสภาพชีวิตของเราแต่ละคนตามฐานะของตน แต่อัตถิภาวะที่แท้จริงย่อมมีความยุ่งยากเหมือนกันเกี่ยวกับคำสอนของคริสตศาสนาในด้านคำสอนและการปฏิบัติจริงย่อมไม่ค่อยสอดคล้องกัน ปฏิบัติได้ยาก นี่ยังเป็นปัญหาของทางปรัชญาอยู่ แต่ก็มีบ้างที่บางคนได้ปฏิบัติ และพยายามที่จะดำเนินชีวิตไปในแนวทางที่ถูกต้องตามหลักศาสนา เพราะฉะนั้นโดยกิจกรรมของพระองค์ พระองค์ทรงแสดงพระธรรมชาติของพระองค์ให้มนุษย์เข้าใจ ความสัมพันธ์ของพระคริสต์กับพระเจ้า มนุษย์และธรรมชาติ และสถานการณ์ของมนุษย์ เป็นไปตามเงื่อนไขของกิจกรรมของพระองค์ สิ่งอื่นทั้งหมดจึงถือได้ว่าเป็นเพียงอารัมภบท”3

3. อัตถิภาวะเป็นพื้นฐานของจริยธรรม

คีร์เคกอร์ด ให้สูตรสั้น ๆ แต่กินความหมายมากไว้ว่า คริสตศาสนาเป็นกระแสชีวิต”4 นั่นคือ จริยธรรมของคริสตชนไม่ใช่การปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ตายตัวเรียบร้อยแล้วเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่คริสตชนทุกคนจะต้องพินิจพิเคราะห์จากอัตถิภาวะของพระคริสต์ ซึ่งตนมีความศรัทธาและยอมรับเป็นตัวอย่างแห่งการดำรงชีพอยู่ นำมาผสมผสานกับอัตถิภาวะของตนตามสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง มิใช่ถือตามกฏตัวอักษร แต่ต้องปฏิบัติด้วยความรัก เพราะว่าสถานการณ์สมัยพระเยซูเจ้ากับสมัยปัจจุบันมันต่างกันมาก อีกอย่างคือ สภาวะของพระองค์กับสภาวะมนุษย์มันแตกต่างกัน เรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเราต้องเลียนแบบพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปฏิบัติตนเหมาะสมตามสถานการณ์ของพระองค์ เราควรเอาแง่นี้ของพระองค์มาพิจารณาว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันของเรา เราพึงปฏิบัติตนอย่างไรในสถานการณ์นั้น จึงจะเหมาะสม

คีร์เคกอร์ดได้ยกตัวอย่างเรื่องการวางใจในพระญาณสอดส่องของพระเจ้า พระเยซูเจ้า ไม่ทรงห่วงใยสะสมทรัพย์สมบัติ แม้ไม่ห่วงใยถึงวันรุ่งขึ้นก็ยังมีกิน ดอกไม้ไม่ห่วงใยถึง เครื่องประดับก็ยังสวยงาม พระองค์ไม่มีแม้กระทั่งหินที่จะหนุนศรีษะเป็นสมบัติส่วนตัว

แต่นั่น คีร์เคกอร์ดชี้แจงว่า พระองค์ปฏิบัติเหมาะสมกับสถานการณ์ของพระองค์ ถ้าเราอยากจะเลียนแบบพระองค์ต้องไม่ยึดเอาการปฏิบัติเหมือนพระองค์อย่างเถรตรง แต่ต้องเลือกการปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์ พระองค์ทรงอยู่ในสถานการณ์อย่างหนึ่งที่กำหนดตายตัวสำหรับพระองค์ พระองค์ไม่สามารถจะทรงอยู่ในทุกสถานการณ์เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เราได้

จากตัวอย่างที่คีร์เคกอร์ดยกมาให้เรานั้น ย่อมเป็นอุทาหรณ์แก่เรา การที่เราจะเลียน แบบพระเยซูเจ้าตามตัวอักษรนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ การวางใจในพยานสอดส่องของ พระเป็นเจ้ามิได้หมายความว่าเราไม่ต้องอออกแรงทำอะไรเลย หากแต่เราต้องออกแรงมากยิ่งขึ้นไปในสภาพชีวิตปัจจุบันนี้ของเรา การที่คีร์เคกอร์ดเอามาพูดนั้นถูกแล้ว ในสภาพความเป็นมนุษย์ของพระองค์นั้นเราเลียนแบบได้ แต่ในสภาพของพระเป็นเจ้าเป็น ความน่าทึ่งสำหรับเราอยู่ แต่ความน่าทึ่งนี้เองที่เป็นพลังให้เราต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต ของเรา สิ่งนี้เองที่เป็นพยานสอดส่องให้แก่เรา การดำเนินชีวิตตามอัตถิภาวะแบบนี้ เป็น พื้นฐานของจริยธรรมโดยแท้

4. อัตถิภาวะเป็นจุดหมายของการสร้างโลก คีร์เคกอร์ด กล่าวเป็นเชิงภาพพจน์ว่า ปัจเจกภาพเป็นมหัพภาคที่แท้จริงในพัฒนาการของการสร้างสรรค์”5 มหัพภาค หมายถึง จุดจบ จึงเปรียบได้กับจุดหมายปลายทางนั่นเอง

สำหรับความมีอยู่บนโลกนี้เป็นสิ่งสร้างทั้งสิ้น และสิ่งสร้างเหล่านี้ แต่ละอย่าง แต่ละชนิดเป็นสิ่งที่ไม่ซ้ำแบบใคร และเป็นปัจเจกภาพอย่างแท้จริง และยังเป็นมหัพภาคอย่างแท้จริงด้วย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกเหมือนกันเกิดขึ้นและวันหนึ่งก็มีจุดจบ จุดจบของสิ่งมีชีวิตคือ ตาย

สำหรับ คีร์เคกอร์ด เขาไม่ได้เป็นนักปรัชญาในความหมายดั้งเดิมของคำ เพราะ ความสนใจแรกของเขาเป็นเรื่องทางศาสนา ความคิดหลักของเขาคือ การกระโดดข้าม และการกระโดดข้ามนี้ คือ จากระดับสุนทรียะไปสู่ขั้นจริยศาสตร์และไปสู่ขั้นที่เรียกว่า ขั้นของศาสนา และจุดมุ่งหมายของเขาก็คือ การกลับเป็นคริสตชนแต่เป็นปัญหาอยู่ที่ว่า ปัจเจกบุคคลจะกลับเป็นคริสตชนได้อย่างไรต่อหน้าปรัชญาเหตุผลนิยมในสังคมของคนชั้นกลางนี้ และในสมัยของเราเช่นเดียวกันที่กำหนดแนวคิดและวิธีการใหม่ของเขา เมื่อเขาหันหน้าสู้กับสิ่งที่เขาถือว่าเป็นการจัดระบบปรัชญาที่เป็นบ่อนทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ อย่างที่เคยเป็นมาแล้วในปรัชญาตะวันตก และที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนในปรัชญาของเฮเก็ลและเมื่อเขาต่อต้านสังคมนิยมที่กดขี่พอ ๆ กับระบบทุนนิยม เขาได้เน้นย้ำที่ความเป็นเอกของบุคคล ความเป็นเอกในสามความหมายด้วยกันคือ ความเป็นหนึ่งเดียว” “ดั้งเดิมไม่ซ้ำแบบใครโดดเดี่ยวและเป็น ผู้ที่รู้สำนึกถึงตัวเอง ไม่ขึ้นกับใครต้องตัดสินเลือกและกระทำเองอย่างสิ้นเชิง จึงไม่เกินความจริงที่จะยืนยันว่า แม้จะมีหลายคนก่อนหน้าเขาที่พูดถึงปัจเจกบุคคล ตั้งแต่ออกัสตินถึงปัสกัล แต่ไม่มีใครได้เห็นเอกภาพในตัวเองที่ไม่หยุดนิ่งที่มีความเป็นอยู่และการกระทำด้วยตัวเองชัดเทากับเขา และภายใต้อิทธิพลของเขาคนอื่น ๆ ในศตวรรษนี้ตั้งแต่การเมืองจนถึงจิตเวช ได้เริ่มที่จะศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงความเป็นจริงประการนี้

คีร์เคกอร์ด ได้วิจัยธรรมชาติของมนุษย์ เขาใช้ทั้งนิทานเปรียบเทียบและการวิเคราะห์ทางวิชาการ แต่เราสามารถจับแนวคิดพื้นฐานของเขาได้จากทฤษฎีเกี่ยวกับ ขั้นตอนของทางชีวิต ซึ่งนี่เป็นจุดกำเนิดที่ทรงพลัง ที่ผลักขบวนการอัตถิภาวะทั้งหมดให้ก้าวไปเป็นพลังของการต่อต้าน ปรัชญานามนิยมเพื่อประโยชน์ของ มนุษย์ที่เป็นรูปธรรม

สรุปแนวความคิดของคีร์เคกอร์ด

เป็นแนวการมองชีวิตที่ไม่แตกต่างจากจากคนในสมัยปัจจุบันเท่าไหร่นัก จากความคิดของเขาที่ว่า คนเรานั้นเป็นอัตถิภาวะดั้งเดิมไม่ซ้ำแบบใคร และแต่ละคนก็เผชิญหน้ากับปัญหาที่คล้าย ๆกันด้วยคือ สภาพชีวิตของมนุษยชาติที่เกิดมามีชีวิตทุกวันนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก มีสภาพความรู้สำนึก และความนึกคิดทีคล้าย ๆ กัน เมื่อประสบกับปัญหาชีวิต แต่ทางออกของการแก้ปัญหาชีวิตนั้นย่อมแตกต่างกัน แต่ว่า คีร์เคกอร์ด ให้แนวทางไว้บ้าง ในหนทางของเราที่จมอยู่ในสภาพเช่นนี้ เราต้องกระโดดออกด้วย คือ ต้องกระโดดจากสภาพเดิมไปสู่สภาพที่ดีกว่า นั่นคือ ขั้นของศาสนา และนี่เป็นขั้นที่ดีที่สุดแล้ว ศาสนานั้นเป็นแนวทางเดียวที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทุกอย่างถ้าเรามีความเชื่อพอ และตนเองเข้าไปแลกด้วย ในหนทางนี้นั้นที่คีร์เคกอร์ดให้แนวคิดแก่เรา เพื่อว่าแต่ละคนที่กำลังประสบกับปัญหาชีวิต โดยที่เราไม่จำเป็นต้องท้อแท้จนเกินไป อย่างน้อยเรามีเพื่อนร่วมโลกอยู่ ยังมีเพื่อนร่วมเดินทางกับเราอยู่ในชีวิตแต่ละวัน แต่บางครั้งการดำเนินไปของชีวิตแต่ละวันมันยากลำบากก็จริงอยู่ แต่ถ้าเรามีความรู้สำนึกคิดสักนิดถึงความผิดพลาดของตัวเอง เราก็มีกำลังใจที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้ และยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่จะคอยช่วยเรายังคงมีอยู่เสมอหากเราพึ่งพาเขา

คนคนนั้นก็คือ องค์พระเยซูคริสตเจ้าเองในระดับความเชื่อนี้ เป็นอัตถิภาวะของเรามนุษย์อย่างแท้จริงในระดับของขั้นศาสนา ศาสนาที่แท้จริงอยู่ที่พระเยซูเจ้าเองที่นำความรอดมาสู่เรา พระองค์เองมาอยู่กับเราในชีวิตประจำวันที่เราอยู่ในโลกนี้

บรรณานุกรม

กีรติ บุญเจือ. ปรัชญาอัตถิภาวนิยม กรุงเทพ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2522

ศักดิ์ชัย นิรัญทวี. ปรัชญาเอ็กซิสเทนเชียลลิสม์ กรุงเทพ : สำนักพิมพ์วลี,2526

โกมุที ปวัฒนา. ปรัชญาเอ็กซิสเทนเชียลลิสม์ กรุงเทพ : สำนักพิมพ์สมิต,2530

ของฝาก

ซาร์ตร์เขียนไว้ว่า.. การเขียนหนังสือเป็นงานประเภทหนึ่งของมนุษย์ที่มีผลกระทบต่อผู้อื่น ดังนั้นจึงต้องเป็นงานที่มีความรับผิดชอบเจืออยู่ด้วย ผู้เขียนไม่ควรคิดว่าผลงานตนจะผ่านสายตาผู้อื่นเป็นจำนวนน้อย เพราะความคิดเช่นนี้จะทำให้ผู้เขียนไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเขียน ฯ

เห็นด้วยไหมครับ ? ยุคสมัยไซเบอร์เช่นทุกวันนี้ การเขียนอะไรก็ตามบนเน็ต ข้อความนั้นอาจดำรงอยู่ตลอดไปได้ง่ายๆ คนเขียนหนังสืออาจตายไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาเขียนไว้ ถูกตราไว้บนโลกและไม่ได้ตายจากไปด้วย ดังนั้นการรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเขียน จึงเป็นสิ่งสำคัญมากฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น